Skip to content

admin

  • หน้าตัวอย่าง
2019-02-21 / ไม่มีหมวดหมู่

“การเลิกกัน” อย่าไปโทษเวลา หรือความห่างไกล ถ้าจะโทษควรโทษที่หัวใจของเรามันได้แปรเปลี่ยนไป

วันนี้เรามีบทความดีๆ มาให้ทุกคนได้อ่านกัน รักแท้แพ้ระยะทาง ทำไมเราต้องโทษความห่างไกล ลองไปอ่านกันค่ะ ความจริงนั้นคืออะไร

มีคนมักบอกว่าเวลาเปลี่ยนใจคนเปลี่ยนแต่ความจริงแล้ว
เวลามันยังคนทำหน้าที่ของมันแบบเดิมในทุกวัน
เวลาไม่มีหยุดหรือลดน้อยลงมันยังคงเดินต่อไปเรื่อยๆ
แต่ใจของคนนั้นต่างกับเวลา ใจของคนเราแปรเปลี่ยนได้เสมอ
บางคนเปลี่ยนแฟน บางคนแฟนเปลี่ยนหรืออะไรอีกมากมาย..
บางครั้งวันนี้รักกันพรุ่งนี้ก็เลิกก็มีถมไป

อย่าไปโทษเวลา โทษความห่างไกล หรืออะไรเลย
ถ้าจะโทษควรโทษที่หัวใจของเรามันได้แปรเปลี่ยนไป
มันเปลี่ยนไปตามความรู้สึกที่เกิดขึ้นกับตัวเรา

ความรักส่วนใหญ่เวลารักกันมักจะเกิดจากอารมณ์
บางครั้งอาจเลิกกันด้วยอารมณ์แต่ส่วนมากมักจะจบลงด้วยเหตุผล
เวลาเลิกมักคนเรามักจะหาเหตุผลมาอ้างเสมอ
แล้วตอนรักกันล่ะทำไมถึงหาเหตุผลไม่ได้ว่ารักเพราะอะไร?

ความรักไม่สามารถอธิบายได้จากคำพูด
เเต่มันจะสามารถอธิบายได้เองจากดวงตาเเละการกระทำของเรา
ความรักไม่เคยทำร้ายตัวเราให้เจ็บช้ำ
มีเเต่ตัวของเราเเละคนของเราที่ใช้ความรักทำร้ายกันเเละกัน
ความรักที่แท้จริง พิสูจน์ได้….ด้วยกาลเวลา

บางคนถึงถามไงว่า รักกันเพราะอะไร ช่างเป็นคำถามที่ตอบยากเสียจริง..
แต่พอเลิกกัน กลับมีเหตุผลให้มากมายว่า ทำไมถึงเลิกกัน ….

ขอบคุณอดีต..

2019-02-21 / ไม่มีหมวดหมู่

มนุษย์จะไม่ ‘มีค่า’ จนกว่าจะ ‘สร้างค่า’ ให้ตัวเอง

10 วิธี ทำตัว ‘มีค่า’ กว่าเดิม

1. อย่า ‘ทำตัวไร้ค่า’

วันๆ ไม่ทำอะไร นั่งขี้เกียจ เฉื่อยชา ต้องขยัน กระตือรือร้น

ทำงาน สร้างสรรค์ ยุ่งตลอดเวลา

อย่าเกิดมา อยู่เป็นสิ่งมีชีวิตรกโลก แล้วตาย

ชีวิตสั้น เดี๋ยวก็ตาย จะทำตัวมีค่าเลย หรือไม่มีค่าเลย

2. อย่า ‘ไร้สาระ’

อะไรไม่สำคัญ ไม่มีประโยชน์ ไม่ต้องทำ

เล่น facebook, instagram ถ้าไม่ได้ความรู้ หรือเงิน

หรือโอกาสในชีวิต

เลิกเล่น คุย line หรือคุยกับเพื่อน

ถ้าปัญญาอ่อน เสียสมอง เสียงาน เสียเวลา เลิกคุย

3. อย่า ‘อยู่แบบห่วยๆ’

ถ้ารู้ตัวว่าห่วย ทำอะไรไม่ได้เรื่องสักอย่าง

อย่าทนกับตัวเอง ลุกขึ้นมาพัฒนาตัวเอง

ทำบางอย่างให้เป็น ทำบางอย่างให้เก่ง

จะได้เลิกสมเพชตัวเอง และมีอนาคต

4. อย่า ‘อวดเก่งไปวันๆ’

ทำตัวเท่ เดินไปเดินมา ขี้โม้ ไม่ได้ช่วยให้เจริญขึ้น

คนเก่งจริงต้องพูดน้อย ทำมาก อวดรู้น้อย เรียนรู้มาก เพ้อเจ้อน้อย

ผลงานมาก ถ้าเจ๋งไม่จริง ลดความหลงตัวเองลงมา

เพิ่มการพัฒนาเข้าไป อย่าทำให้คนหมั่นไส้

5. อย่า ‘ขี้ขลาด’

คนขี้ขลาดจะไม่ได้ทำอะไรในชาตินี้

อยากทำอะไรไม่ใช่ต้องไม่กลัว

แต่ต้องทำทั้งๆ ที่กลัว

อย่ามัวแต่ฟังคนขี้ขลาด บอกไม่ให้ทำ

เพราะสุดท้ายจะเป็นขี้แพ้เหมือนไอ้คนบอก

ดูคนกล้าคิด กล้าทำ กล้าล้มเหลวเป็นตัวอย่าง อย่างมากแค่ต-า-ย ลุย

6. อย่า ‘คิดลบ’

ถ้าคิดลบ ชีวิตจะแย่ไปหมดทุกเรื่อง ไม่มีทางได้ดี

สมองจะเสื่อมโทรม จิตใจจะขุ่นมัว ชีวิตจะห่วยแตก โลกจะโหดร้าย

เลิกเป็นพวกคิดลบ ไม่เคยคิดเชิงสร้างสรรค์

เอะอะก็คิดเชิงทำลาย เพราะสุดท้ายจะทำลายตัวเอง

7. อย่า ‘เห็นแก่ตัว’

ทุกวันนี้อยู่เพื่อใครบ้าง รักใครบ้าง นึกถึงใครบ้างนอกจากตัวเอง

คนเห็นแก่ตัวถือว่ามีชีวิตอยู่ก็ไร้ค่า ถ้าไม่รู้จักใจกว้าง มีน้ำใจ หรือทำเพื่อใครเลย

ไม่ช้าโลกจะเอาทุกอย่างที่มีไปหมด ชีวิตจะจบแบบยากจนข้นแค้น

8. อย่า ‘หมกมุ่นกับความรัก’

ไม่มีความรักไม่ตาย แต่ไม่มีดี ไม่มีค่า ไม่มีอะไรเลยนี่ตายแน่ๆ

อยากได้ความรักดีๆ ทำชีวิตให้ดีซะก่อน

อยากได้คนรักดีๆ ทำตัวเองให้คู่ควรซะก่อน

หยุดดิ้นรนแสวงหา เมื่อรู้ว่าตัวเองยังไม่มีค่าในสายตาใคร

เพราะจะไม่ถูกมองข้ามก็ถูกทิ้งขว้าง

9. อย่า ‘รักคนอื่นมากกว่ารักตัวเอง’

คนไม่รัก ไม่สนใจ ไม่เห็นค่า ช่างมัน

จะแคร์ จะง้อ จะฟูมฟายทำไม

ตัดทิ้งเลย ลืมเลย ไม่สนใจเลย

คนดีๆ บนโลกมีอีกตั้งเยอะ รอเพชรเจียระไนเลอค่า

ปล่อยเศษขี้ฝุ่นไร้ค่าไป

จำไว้ อยากให้คนอื่นเห็นค่า ต้องเริ่มที่เห็นค่าตัวเอง

10. อย่า ‘ดีน้อยไปและเลวมากไป’

เกิดมาบนโลกนี้ ไม่ต้องถึงกับเป็นคนเพอร์เฟคต์

เอาแค่อย่าดีน้อยไป มีข้อดีอยู่บ้างก็พอ และอย่าเลวมากไป

มีข้อเสียนิดหน่อยก็พอ แล้วชีวิตที่เหลืออยู่

ก็เพิ่มความดี ลดความเลว ค่อยเป็นค่อยไป

แค่ได้เห็นเวอร์ชั่นที่ดีกว่าของตัวเองก่อนต-า-ย ก็ไม่เสียชาติเกิดแล้ว

สุดท้าย จำไว้

มนุษย์จะไม่ ‘มีค่า’ จนกว่าจะ ‘สร้างค่า’ ให้ตัวเอง

ถ้าไม่ทำอะไร….อย่าเข้าใจผิดคิดว่าตัวเอง ‘มี’

2019-02-21 / ไม่มีหมวดหมู่

ไม่มีใครทำให้เรามีความสุขได้ มากไปกว่า “ตัวเราเอง”

ไม่มีใครทำให้เรามีความสุขได้

มากไปกว่า “ตัวเราเอง”

ความรู้สึกทุกข์ เหงา เศร้า ที่เกิดขึ้นกับจิตใจเรา

แท้จริงแล้ววิธีการแก้ไขที่ดีที่สุด คือ

การแก้ที่ใจของเราเอง

เพราะแม้คนอื่นจะคอยพร่ำบอกหรือชื่นชมว่าชีวิตคุณดี

ชีวิตคุณน่าอิจฉาเพียงใด

แต่หากตัวคุณเองยังรู้สึกไม่พอใจในสิ่งที่ตัวเองเป็น

หรือมีอยู่คุณก็ทุกข์ใจอยู่ดี

ในทางกลับกันแม้คนรอบข้างจะมองว่าชีวิตคุณช่างน่าเศร้า

โดนคนรักทิ้ง เจ้านายไม่ปลื้ม ฯลฯ

แต่หากใจคุณไม่ทุกข์ด้วยเสียอย่าง

ความสุขและรอยยิ้มก็จะยังคงปรากฏอยู่บนใบหน้าคุณได้เสมอ
.

และหากวันนี้คุณกำลังรู้สึกเป็นทุกข์หรือผิดหวัง

จากสิ่งต่างๆ ที่คาดหวังแล้วไม่เป็นไปดั่งใจ

หนทางที่จะทำให้คุณพ้นทุกข์พบสุขง่ายๆ

คือ บอกกับตัวเองให้ “ยอมรับ”

พร้อมที่จะเผชิญหน้ากับความเป็นจริงทุกอย่างในชีวิต

ด้วยการทำความเข้าใจอย่างลึกซึ้งว่า

สิ่งที่เกิดขึ้นแล้วไม่ว่าจะเป็นเรื่องดีหรือร้าย

เรื่องเหล่านั้นมันผ่านไปแล้วเราไม่สามารถจะเปลี่ยนแปลงอะไรได้

เก็บเอามาคิดและยึดติดก็จะมีแต่ทุกข์

สิ่งที่ควรทำ คือ ทำปัจจุบันให้ดีที่สุด

รวมถึงสร้างความสุขให้ตัวเองในทุกวันด้วยการ…

เห็นคุณค่าในตัวเอง >> ด้วยการรักและเชื่อมั่นในตัวเองว่าตัวเองมีดีพอ เราคู่ควรกับความสำเร็จและสิ่งดีๆ เสมอ

มองคนอื่นในแง่ดี >> มองโลกในแง่ที่สวยงาม อย่าเอาแต่คิดถึงเรื่องร้ายๆ หรือมองว่าคนอื่นไม่ดีไปเสียหมด

มีความหวังอยู่เสมอ>> เพราะความหวังเป็นสิ่งหล่อเลี้ยงจิตใจมนุษย์ให้มีเป้าหมายและความเพียรพยายาม

ซึ่งความหวังหรือความใฝ่ฝันดีๆ ก็ช่วยสร้างความสุขในชีวิตให้กับคุณได้

หัดที่จะให้กำลังใจตัวเองให้หัวใจไม่จนมุม….

รักตัวเองให้เป็น

คนที่สำคัญที่สุด

คนที่เข้าใจเรามากที่สุด

คนที่สุขกับเรามากที่สุด

คนที่ทุกข์กับเรามากที่สุด

คนที่อยู่กับเราไปจนตาย

คนคนนั้น….ไม่ใช่ใคร

คนคนนั้น คือ ตัวเราเอง

ไม่มีใครอยู่เคียงข้าง

ไม่มีใครมองเห็น

ไม่มีใครเข้าใจ

ไม่มีใครมารักมาชอบ

ไม่มีใครคอยปลอบ

ไม่เป็นไร…

อะไรมากระทบก็ไม่เป็นไร

จงหัดที่จะให้กำลังใจตัวเองให้เป็น

cr.goodlifeupdate

2019-02-20 / ไม่มีหมวดหมู่

คนมีศิลปะ

ในสมัยหนึ่ง พระพุทธเจ้า ประทับอยู่วัดเชตวัน เมืองสาวัตถี ทรงปรารภภิกษุผู้ฆ่าหงส์รูปหนึ่ง ได้ตรัสอดีตนิทานมาสาธกว่า…

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว พระโพธิสัตว์เกิดเป็นอำมาตย์ในเมืองพาราณสี มีพราหมณ์ปุโรหิตผู้พูดมากคนหนึ่งประจำราชสำนัก ถ้าเขาได้พูดแล้วคนอื่นจะไม่มีโอกาสได้พูดเลย สร้างความรำคาญให้แก่ผู้คนเป็นอย่างมาก แม้กระทั่งพระราชา พระองค์จึงคิดหาวิธีสกัดคำพูดของปุโรหิตนั้น

วันหนึ่ง พระองค์เสด็จไปพระอุทยานด้วยพระราชรถ ถึงต้นไทรทอดพระเนตรเห็นพวกเด็กกลุ่มหนึ่งกำลังยืนมุงดูชายง่อยเปลี้ยผู้หนึ่ง ดีดก้อนกรวดซัดใส่ใบไม้เจาะรูเป็นรูปสัตว์ต่าง ๆ อยู่ จึงเสด็จเข้าไปทอดพระเนตรดู ทรงคิดได้วิธีสกัดคำพูดของปุโรหิต รับสั่งให้ชายง่อยเปลี้ยเข้าเฝ้า แล้วตรัสถามว่า

” ในราชสำนักของเรา มีคนพูดมากอยู่คนหนึ่ง เจ้า สามารถทำให้เขาหยุดพูดได้ไหม ? ”

เขากราบทูลว่า
” ถ้าได้ขี้แพะถังหนึ่ง อาจทำให้เขาหยุดพูดได้ พระเจ้าค่ะ ”

จึงรับสั่งให้นำชายง่อยเปลี้ยเข้าวังด้วย ให้เขานั่งภายในม่านเจาะรูตรงข้ามกับที่นั่งของพราหมณ์ปุโรหิตผู้พูดมากนั้น พร้อมให้วางขี้แพะแห้งไว้ใกล้ ๆชายง่อยเปลี้ยนั้น พอได้เวลาพราหมณ์ปุโรหิตเข้าเฝ้า เขาก็เริ่มกราบทูลพูดโดยไม่เปิดโอกาสให้ผู้อื่น เมื่อเขาอ้าปากพูดคำไหน บุรุษง่อยเปลี้ยก็ดีดขี้แพะที่ทำเป็นก้อนเล็กๆ ผ่านม่านเข้าปากเขาทุกคำพูด พราหมณ์ปุโรหิตจึงได้กลืนกินขี้แพะโดยไม่รู้ตัว

พระราชาทรงทราบว่าขี้แพะหมดแล้ว จึงตรัสว่า
” ท่านอาจารย์ ท่านกลืนกินขี้แพะไปตั้งถังหนึ่งแล้ว ยังไม่รู้อีกหรือ ? ท่าน จงไปถ่ายท้องก่อนที่จะตายเสียเถิด ”

ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา พราหมณ์ปุโรหิตปิดปากสนิท แม้ใครจะพูดด้วย ก็ไม่ค่อยจะพูด พระราชาทรงสบายพระทัยแล้วรับสั่งให้พระราชทานบ้าน ๔ หลัง อยู่ในทิศทั้ง ๔ ทิศ พร้อมทรัพย์สินแก่ชายง่อยเปลี้ยนั้น

ฝ่ายอำมาตย์ ได้เข้าเฝ้าพระราชาแล้วกราบทูลว่า
“ธรรมดาศิลปะในโลก บัณฑิตทั้งหลาย พึงเรียน แม้เพียงดีดก้อนกรวด ก็ยังช่วยให้ชายง่อยได้สมบัตินี้ ”

แล้วกล่าวคาถานี้ว่า
” ขึ้นชื่อว่าศิลปะ แม้ชนิดใดชนิดหนึ่ง ก็สามารถให้สำเร็จประโยชน์ได้โดยแท้
ขอพระองค์ทรงทอดพระเนตรบุรุษง่อย ได้บ้านทั้ง ๔ ทิศ ก็ด้วยการดีดขี้แพะ ”

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า : ศิลปะเป็นสิ่งจำเป็นกับชีวิต และไม่ควรเป็นคนพูดมาก

2019-02-20 / ไม่มีหมวดหมู่

ชื่อนั้นสำคัญไฉน

ในสมัยหนึ่ง พระพุทธเจ้า ประทับอยู่วัดเชตวัน เมืองสาวัตถี ทรงปรารภพระภิกษุผู้หวังความสำเร็จโดยชื่อรูปหนึ่ง ได้ตรัสอดีตนิทานมาสาธกว่า…

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว พระโพธิสัตว์เกิดเป็นอาจารย์ทิศาปาโมกข์ อยู่ในเมืองตักกสิลา มีลูกศิษย์คนหนึ่งชื่อว่า ปาปกะ (นายบาป) เขาคิดว่าชื่อของเขาไม่เป็นมงคล จึงเข้าไปหาอาจารย์ และขอให้อาจารย์ตั้งชื่อให้ใหม่ อาจารย์จึงบอกให้ไปเที่ยวแสวงหาชื่อที่ตนเองชอบใจมาแล้วจะทำพิธีเปลี่ยนชื่อให้

เขาได้ออกเดินทางไปแสวงหาชื่อใหม่ จนถึงเมืองหนึ่ง เดินผ่านขบวนญาติหามศพไปป่าช้า จึงถามถึงชื่อคนตาย พวกญาติจึงบอกชื่อว่า ชีวกะ(นายบุญรอด)

เขาถามว่า ” ชื่อชีวกะก็ตายหรือ ? ”

พวกญาติจึงกล่าวว่า ” จะชื่ออะไร ๆ ก็ตายทั้งนั้น ชื่อเป็นเพียงบัญญัติสำหรับเรียกกันเท่านั้น ”

พอเดินเข้าไปในเมือง พบเห็นพวกนายทุนกำลังจับนางทาสีเฆี่ยนด้วยเชือกอยู่ จึงถามความนั้นทราบว่านางไม่ยอมให้ดอกเบี้ยจึงถูกลงโทษแทน ถามถึงชื่อนางทาสีนั้น ทราบว่าชื่อนางธนปาลี (นางรวย)

จึงถามว่า ” ชื่อรวย ยังไม่มีเงินดอกเบี้ยหรือ ? ”

พวกนายทุนจึงตอบว่า ” จะชื่อรวยหรือจน เป็นคนยากจนได้ทั้งนั้น ชื่อเป็นเพียงบัญญัติเรียกกันเท่านั้น ”

เขาเริ่มรู้สึกเฉยๆ ในเรื่องชื่อยิ่งขึ้น

เขาได้เดินทางออกจากเมืองไป ในระหว่างทางพบคนหลงทางคนหนึ่ง จึงถามชื่อ ทราบว่าชื่อ ปันถกะ(นายชำนาญทาง)

จึงถามว่า ” ขนาดชื่อชำนาญทางยังหลงทางอยู่หรือ ? ”

คนหลงทางจึงตอบว่า ” จะชื่อชำนาญทางหรือไม่ชำนาญทาง ก็มีโอกาสหลงทางได้เท่ากัน เพราะชื่อเป็นบัญญัติสำหรับเรียกกันเท่านั้น ”

เขาจึงวางเฉยในเรื่องชื่อ เดินทางกลับไปพบอาจารย์ แล้วเล่าเรื่องที่ตนพบเห็นมาให้ฟัง และขอให้ชื่อนายบาปเช่นเดิม อาจารย์จึงกล่าวคาถานี้ว่า

” เพระเห็นคนชื่อเป็นได้ตายไป หญิงชื่อรวยกลับตกยาก
และคนชื่อว่านักเดินทางแต่กลับหลงทางอยู่ในป่า นายปาปกะจึงได้กลับมา ”

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า : ชื่อนั้นไม่ใช่สิ่งสำคัญ

2019-02-20 / ไม่มีหมวดหมู่

การไว้วางใจ

ในสมัยหนึ่ง พระพุทธเจ้า ประทับอยู่วัดเชตวัน เมืองสาวัตถี ทรงปรารภการบริโภคปัจจัย ๔ ที่หมู่ญาติถวาย ด้วยความไว้วางใจ โดยไม่พิจารณาของหมู่ภิกษุ ได้ตรัสอดีตนิทานมาสาธกว่า…

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว พระโพธิสัตว์เกิดเป็นเศรษฐีคนหนึ่ง มีสมบัติมาก ในเมืองพาราณสี เขามีโคอยู่ฝูงหนึ่ง ในฤดูทำนาได้มอบให้คนเลี้ยงโคคนหนึ่ง ต้อนฝูงโคไปตั้งคอกเลี้ยงโคอยู่ในป่า และให้นำน้ำนมโคมามอบให้ตนตามเวลา ก็แลในที่ไม่ไกลจากคอกโคนั้น มีราชสีห์ตัวหนึ่งอาศัยอยู่ ด้วยความกลัวราชสีห์ ฝูงโคจึงซูบผอม น้ำนมก็ไม่เข้มข้นเหมือนเดิม

วันหนึ่ง คนเลี้ยงโค นำน้ำนมโคมามอบให้เศรษฐี ๆ เห็นแล้วจึงถามว่า
“ทำไม น้ำนมโค ถึงใส ”

เขาจึงเล่าเรื่องนั้นให้เศรษฐีฟังว่า
” มีราชสีห์ตัวนั้น ติดพันแม่เนื้อตัวหนึ่งจึงไม่หนีไปไหน ”

เศรษฐีจึงแนะนำว่า
” เจ้า จงจับแม่เนื้อนั้น ให้จงได้ ทายาพิษที่ขนของมัน ตั้งแต่หน้าขนผากมันขึ้นไปหลาย ๆ ครั้ง กักไว้ สัก ๒-๓ วัน แล้วค่อยปล่อยมันไป ”

เขาได้ทำเช่นนั้น ราชสีห์เห็นแม่เนื้อนั้น ก็เลียตามตัวด้วยความสิเนหา ได้ถึงความสิ้นชีวิตไป
คนเลี้ยงโค ได้นำหนังของราชสีห์ไปมอบให้เศรษฐีๆ จึงกล่าวว่าขึ้นชื่อว่าความเสน่หาในพวกอื่นไม่ควรกระทำ ราชสีห์เพราะอาศัยความติดพันด้วยอำนาจกิเลส เลีียสรีระของแม่เนื้อสิ้นชีวิตแล้วกล่าวคาถานี้ว่า

” บุคคล ไม่ควรไว้วางใจ ในผู้ที่ยังไม่คุ้นเคยกัน
แม้ผู้ที่คุ้นเคยกันแล้ว ก็ไม่ควร ไว้วางใจ
ภัย ย่อมมีมาจากผู้ที่คุ้นเคยกัน เหมือนภัยของราชสีห์เกิดจากแม่เนื้อ ”

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า : อย่าไว้ใจทาง อย่าวางใจคน

2019-02-21 / Blogs

การพัฒนาตัวเอง

มีหลายคนที่อยากเปลี่ยนแปลงตัวเอง พัฒนาตนเอง ต้องเคยคิดหรือรู้สึกว่าเจ้าความขี้เกียจของเรานี่มันช่างเป็นตัวขัดขวางให้เราไม่พัฒนาเสียจริงๆ ทั้งที่มีความตั้งใจเริ่มต้นไว้ดิบดีแล้วก็ตาม.. เขาถึงได้บอกว่าการพัฒนาตนเองนั้นเราต้องมีเป้าหมาย มีแรงจูงใจ แรงบันดาลใจ เพราะเมื่อใดเกิดขี้เกียจขึ้นมา ท้อขึ้นมา ก็จะได้แรงเหล่านี้เป็นตัวผลักให้หลุดจากความท้อ ความขี้เกียจไปได้
ซึ่งปัญหามันก็มีต่อว่า แม้ได้รับแรงผลักที่ดี บางทีผ่านไปไม่นาน มันก็ยังขี้เกียจอยู่ดี.. อาจด้วยเพราะเจออุปสรรค หมดแรงจูงใจก็ตาม คงไม่จำเป็นต้องมัวไปหาสาเหตุที่คนเราขี้เกียจ เพราะไม่ว่าจะจากเหตุไหนอย่างไรมันก็คงไม่ดี โดยอย่างยิ่งกับหลายสิ่งที่เราต้องการผลลัพธ์เป็นความสำเร็จ มันคงไม่สำเร็จได้โดยง่ายบนภาวะเช่นนี้
สำหรับผมแล้วมีแนวคิดอยู่อย่างหนึ่งว่า อะไรที่เรารู้ว่ามันไม่ดี แต่เอาชนะมันไม่ได้ ตัดมันไม่ได้ เราก็ต้องปรับหรือเปลี่ยนเพื่ออยู่กับมันให้ดีให้ได้ เหรียญย่อมมี 2 ด้านเสมอไม่มีอะไรเลวร้ายไปเสียหมด ความขี้เกียจก็เช่นกัน และมันต้องเริ่มจากการ “เปลี่ยนทัศนคติ” เปลี่ยนความคิด ไปในด้านที่ควรจะเป็น เหมือนเช่น ความขี้เกียจที่มันก็มีดีของมันอยู่ ดังแง่คิดต่อไปนี้
ก็เพราะขี้เกียจเดิน เราจึงมีรถใช้?
ขี้เกียจจึงหาทางลัด
นี่เป็นจุดแข็งของความขี้เกียจเลยทีเดียว ผมเป็นคนหนึ่งที่บ่อยครั้งขี้เกียจทำอะไรๆ ในแบบที่ เขาว่าต้องทำแบบนั้นแบบนี้ ซึ่งบางทีมันมีกระบวนการที่ไม่จำเป็นเอาเสียเลย จนมันจึงกลายเป็นเรื่องที่ยาก (เพราะหลายขั้นตอน) ไปเลยก็มี จึงชอบที่จะหาทางลัดและทำมันให้สำเร็จโดยเร็ว หรือไม่เช่นนั้นก็หาวิธีช่วย หรือ เครื่องมือช่วยทำให้ขั้นตอนต่างๆ เร็วขึ้น ง่ายขึ้น อะไรก็ตาม ผมเชื่อว่า หลายๆ นวัตกรรมก็เกิดจากความขี้เกียจคล้ายกันแบบนี้แหละ จะว่าไปแล้ว บางทีก็เพราะขี้เกียจเดิน เราจึงมีรถใช้กัน ทุกวันบนโลกนี้ก็เป็นได้ (จริงๆ น่าจะอยากไปเร็วขึ้น ขี้เกียจเสียเวลามากกว่า.. แต่ก็ขี้เกียจอีกนั่นแหละ)
แต่ก็ต้องเตือนกันไว้ก่อนว่า บางเรื่อง บางอย่างมันไม่มีวิธีลัด กลายเป็นว่ามัวแต่หาวิธีทั้งๆ ที่ทำๆ มันไปเลยคงจบไปแล้ว ตรงนี้ก็ต้องดูด้วยว่าบางเรื่องมันขี้เกียจหรือขยัน(หาวิธี) แบบผิดๆ กันแน่ รวมถึงต้องเตือนกันในความคิดบางอย่างที่อยากจะลัดมากไปจนกลายเป็นสิ้นคิดในบางแง่มุม ยกตัวอย่างสุดง่าย ก็คือ ขี้เกียจทำงาน เลยไปปล้นธนาคาร นี่คือวิธีลัด ด้วยความเคารพ ขี้เกียจไม่ว่าแต่อย่าโง่ไปด้วยเลยครับ
ขี้เกียจถาม/ขอร้อง
เอาความขี้เกียจตัวเองยกมามาเป็นตัวอย่างอีกเรื่อง นี่ผมก็ถือว่าเป็นข้อดีที่สุดของความขี้เกียจของผมและมันเป็นส่วนหนึ่งที่สร้างผมมาเป็นผมเลยทีเดียว ในการที่คนเราจะรู้หรือทำอะไรสักอย่าง มันก็ต้องควรได้รับองค์ความรู้ที่ถูกต้องเสียก่อน ไม่เช่นนั้น สิ่งต่างๆ มันก็ยากเกินไป เพราะไม่รู้จะเริ่มจากตรงไหน แต่จากประสบการณ์ ผมมักจะมีปัญหาในการที่จะถาม ขี้เกียจถาม บางทีถามไม่ได้คำตอบที่ดีพอ ทำให้ชอบที่จะหาคำตอบเอง ไม่ว่าจะเป็นการหาความรู้ ไปจนถึงลงมือลองทำด้วยตนเอง อะไรก็ตามที่เราศึกษาเอง ลองผิดลองถูกเอง เรามักจะรู้จริง รู้ซึ้งในระดับหนึ่งของสิ่งนั้นๆ เพราะผ่านกระบวนการผิดถูก หรือหาความรู้อย่างรอบด้านมาพอสมควร เมื่อมันสะสมมากเข้าเราก็รู้มาก รู้กว้าง ที่แม้ไม่ได้เก่งไปเสียทุกเรื่อง แต่ก็ได้เปรียบคนอื่นในหลายๆ เรื่อง
หลายคนอาจบอกว่า ไม่เคยขี้เกียจถาม เพราะถามแล้วเขาบอกทำได้เร็วกว่า หรือถามให้คนอื่นช่วยทำดีกว่า รวมๆ คือขี้เกียจคิดเองทำเอง ถามเอาสบายกว่าเยอะ ผมก็เห็นด้วย แต่เฉพาะในบางเรื่องเท่านั้น เพราะหลายๆ เรื่องถ้าถามครั้งหนึ่ง เราก็รู้แค่เรื่องหนึ่งต้องถามเขาเอาอีกหลายเรื่อง แถมบางทีก็ต้องไปไล่ถามคนอื่นต่อเอาอีก ได้คำตอบผิดๆ อีก ไม่รู้จริงอีก ส่วนตัวมองว่ามันน่าเบื่อมาก ที่สำคัญคือ เราไม่สามารถแก้ปัญหาเองได้ในสิ่งนั้น(ต้องไปถามคนอื่น) หลายเรื่องเป็นแบบนี้จริงๆ ซึ่งก็จะมีคนประเภทหนึ่ง เหมือนจะขี้เกียจเรียนรู้ แต่ขยันถามแล้วถามอีกไม่มีเบื่อ!
กระนั้นความขี้เกียจถาม ขี้เกียจร้องขอนี้มีข้อเสียอีกเหมือนกัน คือ เสียเวลา ต้องเจียดเวลาเพื่อรู้เอง เพื่อลองเอง บางทีถามถูกที่ ถูกคน ถูกเวลา ง่ายกว่าจริงๆ ดังนี้ดูดีๆ ว่ามีใครพอพึ่งพาได้ไหม และอะไรก็ตาม ดังที่บอกไปส่วนหนึ่งว่า นี่ทำให้ผมเป็นแบบนี้ เป็นผู้มีใจที่รักจะแบ่งปันความรู้ แนวคิดต่างๆ เพราะชีวิตตัวเองเสียเวลาศึกษาอะไรมาเยอะ จึงไม่อยากให้ใครต้องเสียเวลาชีวิตไปเพียงเพื่อรู้บางเรื่องอีกเลย
หากลองคิดดูดีๆ ก็น่าสงสัยตกลงขี้เกียจจริงๆ หรือขยันผิดเรื่องอยู่กันแน่
ขี้เกียจเสียเวลา
เรื่องของเวลา แม้จริงๆ มันจะมีมาตรฐาน เท่ากันแต่ละวันกันทุกคน แต่เราก็กลับรู้สึกไม่เท่ากัน และใช้มันได้อะไรกลับมาไม่เท่ากัน หลายคนได้ประโยชน์ พัฒนา หลายคนไม่ได้ประโยชน์ การที่เราขี้เกียจทำอะไรสักอย่างหากมันเป็นสิ่งไม่จำเป็น ก็คงไม่เสียหายอะไร แต่ถ้าไม่ย่อมมีผลตามมา บางเรื่องที่เรามองว่าไม่อยากทำตอนนี้ รู้สึกไม่อยากเสียเวลาทำมัน แต่ก็ต้องทำในวันหน้าอยู่ดี แบบนี้แสดงว่าเรากำลังผลัดวันประกันพรุ่ง มองให้ดีๆ แทนที่เราจะได้มีเวลาเหลือในอนาคต ก็กลายมาเสียเวลาทำสิ่งนี้อีก และด้วยเงื่อนเวลามันกลายเป็นว่า ทำภายหลังลำบากกว่า ยากกว่า หรือทำไม่ได้แล้วก็มี.. เช่น ไม่มีคนช่วย
ดีจะได้ไม่ต้องทำ?.. มันไม่เป็นเช่นนั้นน่ะสิ ทุกสิ่งในชีวิตมักเกี่ยวโยงกัน อะไรที่พลาดไป ขาดไป ย่อมต้องถูกทดแทนด้วยสิ่งหนึ่งอย่างรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม ซึ่งอาจฟังลึกซึ้งมากไป เช่นนั้นคิดเอาง่ายๆ แค่ว่า บางเรื่องทำๆ ไปตอนนี้ดีกว่ายากภายหลัง เหมือนบอกตัวเองว่า “อย่าต้องเสียเวลากับเรื่องนี้อีก” นั่นก็คือ ทำให้มันจบๆ ไปซะ
ขี้เกียจเสียเวลา ก็ยังมีอีกมุม ดังที่บอกไปว่าเวลาเรามีเท่ากัน แต่หลายคนแทนที่จะเอาไปทำอะไรก็ไม่ทำ อ้างว่าขี้เกียจ แต่มักขยันที่จะไป ฟัง รู้ สนใจ เรื่องคนอื่นไว้ก่อน บ้างอ้างว่าช่วย ช่วยรับฟัง หรืออะไรก็ตาม ซึ่งการช่วยเหลือผู้อื่นเป็นเรื่องดี แต่บางทีก็ขยันแต่เรื่องคนอื่น เพราะคิดเอาว่าตัวเองคงไม่สามารถทำชีวิตตัวเองดีขึ้นได้ง่ายๆ เลยทำให้การได้ช่วยคนอื่นนั้น มันทำให้ชีวิตดูมีคุณค่าขึ้น.. ก็ไม่ผิดที่คิดเช่นนี้ แต่ลองตรองดีๆ ว่าคนเราหากนำพาชีวิตตัวเองก้าวหน้าได้มาก นั่นก็ยิ่งมีกำลัง มีอะไรไว้ช่วยคนอื่นได้มากกว่าตอนนี้หลายเท่านัก และไม่ตกอยู่ในภาวะช่วยแต่เขา ตัวเองเอาไม่รอดอีกด้วย คนเป็นเช่นนี้ อยากก้าวหน้า อยากพัฒนาตนเอง แต่เลือกที่จะใช้เวลากับเรื่องคนอื่น พอเรื่องของตัวเองเต็มไปด้วยข้ออ้างในการทำ และออกแนวขี้เกียจ หากลองคิดดูดีๆ ก็น่าสงสัยตกลงขี้เกียจจริงๆ หรือขยัน.. ผิดเรื่องอยู่กันแน่?
มีหลายอย่างที่คิดว่าขี้เกียจ แต่ที่จริงขยันนะที่ทำไปแบบนั้น
ขี้เกียจทำซ้ำซาก/แก้ไข
นึกกันดูสักหน่อย เราก็จะเจอว่าหลายอย่าง อาจเป็นงานหรือเรื่องในชิวิตประจำวัน ที่เรารู้สึกว่าขี้เกียจและไม่เปลี่ยนแปลงโดยที่มันอาจเป็นเรื่องที่ต้องทำ และทำซ้ำๆไปเช่นนั้น บ้างก็เป็นเรื่องที่ต้องแก้ไขอยู่เช่นนั้น เหมือนคำคมที่เขาว่า “ทำอะไรเดิมๆ ก็ได้ผลลัพธ์เดิมๆ” ในมุมหนึ่งนึ่สะท้อนการพัฒนาบางอย่างของชีวิตชัดเจน และควรจะคิดได้ว่าทำไมไม่คิดหาวิธีที่จะได้ไม่ต้องทำอะไรซ้ำๆ ต้องแก้ไขเรื่องเดิมๆ ล่ะ ทำให้ผมมองว่า มีหลายอย่างที่คนเราคิดว่าขี้เกียจ เลยไม่ใส่ใจ แต่ที่จริงขยันนะ ที่ทำไปแบบนั้น เพราะมันต้องทำซ้ำๆ ซากๆ หลายๆ รอบแก้ปัญหาแบบเดิมๆ อยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะเรื่องคน เรื่องงาน หรือเรื่องอะไรก็ตาม
อาจมีข้อโต้แย้งขึ้นมาว่าให้ทำไงล่ะ เปลี่ยนไม่ได้ ไม่เป็น..ไม่รู้หรอก ก็แล้วแต่ปัจจัย เช่น งานบางอย่างที่คุณเองก็ไม่เข้าใจว่า ต้องทำเรื่องนี้ซ้ำๆ ไปทำไม แต่เปลี่ยนแปลงไม่ได้เพราะเป็นคำสั่ง ตรงนี้ก็ขึ้นอยู่กับว่า คุณจะขยันทำต่อไป หรือขี้เกียจหาวิธีใหม่? เพราะไม่จริงเลยที่ว่าจะเปลี่ยนแปลงงานไปในทางดีขึ้นไม่ได้ หากมันดีจริงๆ หรือดีพอ มันย่อมพิสูจน์ตัวเองได้ ไม่เช่นนั้น หางานใหม่อาจสบายกว่าเดิมก็ได้ (จริงๆ เยอะมากที่เปลี่ยนแปลง แล้วงานน้อยลง แต่เงินดีกว่าเดิม) แต่ก็นั่นแหละ ขี้เกียจหางานใหม่.. แต่ขยันทำงานเดิมๆ ที่ไม่มีอะไรดีขึ้น..
ขี้เกียจพูด/อธิบาย
ทำดีกว่าพูด เราก็รู้กันอยู่ แต่ก็มีไม่น้อยที่รู้สึกว่า ขี้เกียจพูดทำไปเลยดีกว่า แต่ผมไม่ได้กำลังหมายความว่า ขี้เกียจพูดแบบนี้จะดี เพราะนี่มันก็ต้องขยันทำ และมันกลายเป็นว่าก็ต้องทำมันเรื่อยไป และคนที่ขี้เกียจจริงๆ ก็จะรู้ว่ามีคนทำแทน (จนเริ่มงงว่าใครขี้เกียจ ใครขยันกันแน่งานนี้)
แต่ที่จริง การขี้เกียจพูด และขี้เกียจอธิบายนี้เป็นเรื่องดีจริงๆ คือลงมือทำไปเสีย (ไม่ต้องพูดอยู่) และไม่ต้องอธิบาย (ให้มันผ่านไป) เราจะมีเวลาไปคิด ไปทำเรื่องดีๆ อีกมากมาย ซึ่งในทางตรงกันข้าม คนที่เอาแต่พูด วิจารณ์ ขยันอธิบาย วิเคราะห์ต่างๆ นาๆ ให้คนอื่นนั้น บางทีก็น่าสงสัยว่า แท้จริงแล้ว ไม่มีปัญญาทำด้วยตนเองหรือเปล่า หรืออยากให้เขาช่วย อยากสำคัญ จนบางทีก็งงว่า ต้องการอะไรกันแน่
การเป็นคนขี้เกียจพูด/อธิบาย แล้วลงมือทำนี้ ไม่ได้หมายความว่า ทำแทนใคร ทำเรื่องของใคร เพราะบางครั้งเราไปพูด ไปบ่น ไปอธิบายเร่ืองของคนอื่นที่เราคิดว่า “ห่วง และ หวังดี” ก็ไม่ผิดหรอก แต่ถ้า “ขยัน พูด อธิบาย สิ่งเหล่านั้น” คุณว่า ได้อะไร?.. นั่นแหละเชื่อว่าทุกคนเข้าใจ อย่าไปขยันอะไรสิ่งนี้เลย
การที่เราขี้เกียจ แค่เพราะทำสิ่งไม่ชอบ หรือมันยังไม่ใช่
ขี้เกียจก็คือขี้เกียจ!!
ถ้าใครขยันอ่านมาถึงตรงนี้ แล้วคิดตามบ้าง แย้งบ้าง ก็อาจจะมองว่า เรื่องนี้ไม่เข้าท่า มันไม่ใช่ว่าขี้เกียจแล้วจะพัฒนาตนเองได้ มันก็แค่เปลี่ยนมุมมองที่ อาจต้องทำบางอย่าง ก็ในเมื่อสำหรับคนขี้เกียจแล้ว “มันไม่อยากทำอะไรสักอย่าง”..
ผมไม่เชื่อว่ามันคือความเป็นจริง เพราะแท้แล้ว ความขยัน กับความขี้เกียจนี้ เป็นสิ่งที่ไม่ใครชี้วัด คนขยันนั่ง กับคนขยันยืน ก็ขยันเหมือนกัน คนขยันนั่ง ก็บอกว่าขี้เกียจยืน คนขยันยืนก็บอกว่า ขี้เกียจนั่ง มนุษย์นั้นหากหัวใจยังเต้นแล้ว ย่อมต้องสูบฉีดให้ร่างกาย สมองดำเนินไป ในทิศทางที่คนๆ นั้นต้องการ เพียงแต่ว่า เมื่อไม่ใช่สิ่งที่ต้องการมันจึงไม่อยากกระทำ และ การที่เราขี้เกียจ แค่เพราะทำสิ่งไม่ชอบ หรือมันยังไม่ใช่ ความขี้เกียจมีข้อดีดังที่ยกตัวอย่างไป
ความขยันก็มีข้อดีแบบที่รู้กันอยู่ แต่ขี้เกียจผิดเรื่องก็ไม่ดี ขยันผิดเรื่องก็ไม่ดีได้อีก สิ่งที่ต้องข้าม คือ ใจ เท่านั้น ใจที่พ่ายแพ้หรือยังสู้ ลองดูดีๆ ที่ขี้เกียจนั้น มันแค่ใจที่ไม่สู้หรือเปล่า เพราะหากใจยังไหวคำว่าขี้เกียจ ก็เปลี่ยนเป็นการพัฒนาตนเองได้เช่นกัน

2019-02-21 / สาระความรู้

ประโยชน์ของการคบมิตร

ในสมัยหนึ่ง พระพุทธเจ้า ประทับอยู่วัดเชตวัน เมืองสาวัตถี ทรงปรารภมิตรของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี จึงตรัสว่า

” ธรรมดามิตร จะเป็นคนเล็กน้อยไม่มี ผู้สามารถรักษามิตรไว้ได้เป็นสิ่งประเสริฐ มิตรผู้เสมอกัน ต่ำกว่ากัน หรือสูงกว่ากันควรคบไว้ เพราะมิตรเหล่านั้น ย่อมช่วยแบ่งเบาภาระของเราได้ทั้งนั้น ”

แล้วนำอดีตนิทานมาสาธกว่า…

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว พระโพธิสัตว์เกิดเป็นเทวดาอยู่ที่กอหญ้าคาในพระราชอุทยาน เป็นมิตรกับเทวราชผู้ศักดิ์ใหญ่ตนหนึ่ง ผู้อาศัยที่ต้นไม้มงคลของพระราชาอยู่ในพระราชอุทยานนั้นด้วย ครั้งนั้น พระราชาประทับอยู่ในปราสาทเสาเดียว เสาของปราสาทนั้นสั่นไหวขึ้น พระองค์จึงรับสั่งให้พวกช่างไม้หาไม้แก่น มาเปลี่ยนเสาปราสาทใหม่ พวกช่างไม้เสาะแสวงหาไม้แก่นในพระราชอุทยาน ตกลงกันจะเอาต้นไม้มงคลนั้นทำเป็นเสาปราสาท จึงกราบทูลพระราชา พระองค์จึงอนุญาตให้ตัดได้ วันนั้น พวกนายช่างได้ไปทำพลีกรรมต้นไม้มงคล และกำหนดตัดในวันพรุ่งนี้

ฝ่ายเทวราช พอทราบว่าต้นไม้ที่อยู่อาศัยจะถูกตัด ไม่เห็นที่จะไป จึงกอดคอลูกน้อยร้องไห้อยู่ หมู่รุกขเทวดาทราบเรื่องแล้ว ก็ไม่มีใครจะช่วยแก้ปัญหาได้ เทวดาพระโพธิสัตว์ทราบเรื่อง จึงพูดปลอบเทวราชผู้สหายนั้นว่า

” พรุ่งนี้เราจะไม่ให้ตัดต้นไม้นั้น พวกเราคอยดูเราเถิด ”

ครั้นรุ่งขึ้น พอพวกช่างไม้มาถึง ท่านก็แปลงตัวเป็นกิ่งก่าวิ่งนำหน้าพวกช่างไม้ไป มุดเข้าที่โคนต้นไม้มงคลไปโผล่ออกทางยอดไม้นอนผงกหัวอยู่ ทำประหนึ่งว่าต้นไม้นั้นเป็นโพรง

นายช่างไม้เห็นเช่นนั้นแล้ว ก็เอามือตบต้นไม้นั้นแล้วตำหนิว่า

” ต้นไม้นี้ มีโพรง ไร้แก่น เมื่อวานไม่ทันได้ตรวจดูถ้วนถี่ หลงทำพลีกรรมกันเสียแล้ว ” ก็พากันหนีกลับไป

เทวราชพอเห็นวิมานของตนไม่ถูกทำลาย ก็ยกย่องพระโพธิสัตว์ ท่ามกลางหมู่รุกขเทวดา ด้วยคาถาว่า
” บุคคลผู้เสมอกัน ประเสริฐกว่ากันหรือเลวกว่ากัน ก็ควรคบกันไว้
เพราะมิตรเหล่านั้น เมื่อความเสื่อมเกิดขึ้น ก็พึงทำประโยชน์อันอุดมให้ได้
เหมือนเราผู้เป็นเทวดาสถิตอยู่ที่ต้นรุจา กับเทวดาผู้สถิตที่กอหญ้าคาคบกัน ”

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า : ผู้คนควรมีมิตรทุกชั้นวรรณะ เมื่อคราวลำบากจะมีผู้ช่วยเหลือ

2019-02-21 / ไม่มีหมวดหมู่

สะใภ้เศรษฐี

ในสมัยหนึ่ง พระพุทธเจ้าประทับอยู่วัดเชตวันเมืองสาวัตถี ทรงปรารภนางสุชาดาน้องสาวของนางวิสาขาซึ่งเป็นลูกสะใภ้ของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี เรื่องมีอยู่ว่า…

นางสุชาดาสำคัญตนว่าเป็นลูกสาวของตระกูลใหญ่ จึงไม่ยอมก้มหัวให้กับใคร ๆ ในครอบครัวสามี แม้กระทั่งปู่และย่า เที่ยวดุด่าเฆี่ยนตีทาสรับใช้ในเรือนของสามีอยู่เป็นประจำ

ต่อมาวันหนึ่ง พระพุทธเจ้าพร้อมด้วยพระภิกษุสงฆ์เข้าไปฉันที่บ้านของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ขณะที่กำลังแสดงธรรมอยู่นั่นเอง ได้ยินเสียงเอะอะโวยวาย จึงตรัสถามท่านเศรษฐี เมื่อเศรษฐีกราบทูลให้ทรงทราบแล้ว พระองค์จึงรับสั่งให้เรียกนางมาเข้าเฝ้า และตรัสถามนางว่า

” สุชาดา ภรรยามี ๗ จำพวก เธอเป็นภรรยาจำพวกไหน ”

นางสุชาดาไม่ทราบจึงกราบทูลว่า

” ข้าพระองค์ไม่ทราบว่าพระองค์ตรัสหมายถึงอะไร โปรดอธิบายด้วยเถิดพระเจ้าข้า ”

พระพุทธเจ้าจึงตรัสแสดงภรรยา ๗ จำพวกว่า

” สุชาดา ภรรยาจำพวกที่ ๑ มีจิตคิดประทุษร้ายสามี มิได้ประพฤติสิ่งที่เป็นประโยชน์เกื้อกูลแก่สามี รักใคร่ในชายอื่น ดูหมิ่นล่วงเกินสามี ขวนขวายเพื่อจะฆ่าสามี นี่เรียกว่า วธกาภริยา ภรรยาเสมือนดังเพชฌฆาต

ภรรยาจำพวกที่ ๒ สามีได้ทรัพย์มามอบให้ภรรยาเก็บรักษาไว้ แต่ภรรยาไม่รู้จักเก็บรักษา ปรารถนาแต่จะใช้ทรัพย์นั้นให้หมดไป นี่เรียกว่า โจรีภริยา ภรรยาเสมือนดังโจร

ภรรยาจำพวกที่ ๓ เกียจคร้านทำงาน กินจุ มักโกรธ มักดุด่า กดขี่คนใช้ นี่เรียกว่า อัยยาภริยา ภรรยาเสมือนดังเจ้านาย

ภรรยาจำพวกที่ ๔ โอบอ้อมอารี ทำแต่สิ่งที่เป็นประโยชน์เกื้อกูลทุกเมื่อ ตามรักษาสามีเหมือนแม่รักษาลูก รักษาทรัพย์ที่สามีหามาได้ไว้ นี่เรียกว่า มาตาภริยา ภรรยาเสมือนดังมารดา

ภรรยาจำพวกที่ ๕ มีความเคารพสามี มีความละอายใจ ทำตามความพอใจสามี คล้ายน้องสาวเคารพพี่ชาย นี่เรียกว่า ภคินีภรรยา ภรรยาเสมือนดังน้องสาว

ภรรยาจำพวกที่ ๖ เห็นหน้าสามีย่อมร่าเริงยินดี คล้ายกับเพื่อนรักมาเยี่ยมเยือนบ้าน รักษาชื่อเสียงวงศ์ตระกูล มีศีลมีวัตรปฏิบัติต่อสามี นี่เรียกว่า สขีภริยา ภรรยาเสมือนดังเพื่อน

ภรรยาจำพวกที่ ๗ เป็นคนที่ไม่มีความขึงโกรธ ถึงจะถูกคุกคามก็ไม่มีจิตคิดประทุษร้าย อดกลั้นต่อสามี เอาใจสามีเก่ง นี่เรียกว่า ทาสีภริยา ภรรยาเสมือนดังทาส

สุชาดา ภรรยา ๓ จำพวกแรกต้องตกนรก ส่วนภรรยา ๔ จำพวกหลังไปเกิดในเทวโลกชั้นนิมมานรดี ภรรยา ๗ จำพวกนี้ เธอจะเป็นจำพวกไหน ”

เมื่อพระพุทธองค์เทศนาเรื่องภรรยา ๗ จำพวกจบเท่านั้น นางสุชาดาได้เป็นพระโสดาปัตติผลทันที จึงกราบทูลว่า

” ข้าพระองค์ขอเป็นทาสีภริยา ภรรยาเสมือนดังทาส พระเจ้าข้า”

ถวายบังคมขอขมาพระพุทธเจ้าแล้วก็ไป

เมื่อกลับถึงวัดเชตวันพวกภิกษุพากันสนทนาถึงนางสุชาดาที่เป็นหญิงสะใภ้ผู้ดุร้าย พอได้ฟังธรรมของพระพุทธองค์แล้วกลับเป็นหญิงเรียบร้อยไปได้

พระพุทธเจ้าเพื่อคลายความสงสัยของพวกภิกษุได้ตรัสอดีตนิทานมาสาธก ว่า…

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว พระโพธิสัตว์เกิดเป็นพระราชโอรสของพระเจ้าพรหมทัต เมืองพาราณสี พอเจริญวัยได้ไปศึกษาศิลปะที่เมืองตักกสิลา เมื่อพระราชบิดาสวรรคตแล้วก็ได้ขึ้นครองราชย์สืบมา พระองค์ทรงปกครองบ้านเมืองโดยธรรม แต่พระมารดาเป็นผู้มักโกรธดุร้าย ชอบด่าข้าทาสบริวารอยู่เสมอ พระองค์คิดหาวิธีจะตักเตือนพระมารดาแต่ก็ยังหาไม่ได้

วันหนึ่ง พระองค์เสด็จไปสวนหลวงพร้อมด้วยพระมารดา มีบริวารแวดล้อมไปด้วยคณะใหญ่ พวกข้าทาสบริวารพอได้ยินเสียงนกต้อยตีวิดร้องก็พากันปิดหูพร้อมกับบ่นว่า

” เจ้านกบ้า เสียงไม่ไพเราะก็ยังร้องอยู่ได้ ไม่อยากฟัง”

ลำดับนั้นได้ยินเสียงนกดุเหว่าร้องสำเนียงไพเราะก็พากันชื่นชมว่า ” เสียงเจ้าช่างไพเราะจริงๆ ร้องต่อไปเรื่อยๆ อย่าได้หยุดนะ”

พระองค์คิดว่าได้โอกาสตักเตือนพระมารดาแล้ว จึงตรัสเป็นพระคาถาว่า

” ธรรมดาสัตว์ทั้งหลายที่สมบูรณ์วรรณะ มีเสียงอันไพเราะ น่ารักน่าชม
แต่พูดจาหยาบกระด้าง ย่อมไม่เป็นที่รักของใครๆ ทั้งในโลกนี้และโลกหน้า
พระองค์ก็ได้เห็นมิใช่หรือว่า นกดุเหว่าสีดำตัวนี้มีสีไม่สวย ลายพร้อยไปทั้งตัว
แต่เป็นที่รักของสัตว์ทั้งหลายจำนวนมาก เพราะร้องด้วยเสียงอันไพเราะ
เพราะฉะนั้น บุคคลควรพูดคำอันสละสลวย คิดก่อนพูด พูดพอประมาณไม่ฟุ้งซ่าน
ถ้อยคำของผู้ที่แสดงเป็นอรรถเป็นธรรม เป็นถ้อยคำอันไพเราะ เป็นถ้อยคำที่เป็นภาษิต ”

พระมารดาได้สดับแล้วก็กลับได้สติ จำเดิมแต่วันนั้นมาก็กลายเป็นคนเพียบพร้อมด้วยมารยาทอันดีงามไม่ดุด่าว่าร้ายใครๆ ครองชีวิตโดยธรรมเสด็จไปตามยถากรรม

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า : สะใภ้ที่ดีควรเลือกทำตามภรรยา ๔ จำพวกหลัง และควรเป็นคนเจรจาด้วยคำไพเราะอ่อนหวามเหมือนกับเสียงนกดุเหว่าที่ใครๆ ก็ลุ่มหลงอยากฟัง

2019-02-20 / ไม่มีหมวดหมู่

สละเวลาแค่ 5 นาที “อธิษฐานก่อนนอน” เพื่อเป็นศิริมงคล

สละเวลาแค่ 5 นาที “อธิษฐานก่อนนอน” เพื่อเป็นศิริมงคล ให้หลุดพ้นบ่วงก ร ร มตัวเอง ใครรู้สึกชีวิตตกต่ำ ทำอะไรไม่ขึ้น ล อ ง ทำ ดู

ใครเคยได้ฟังธรรมแล้วได้ยินว่า ก่อนที่จะนอน พระพุทธเจ้า เคยสอนให้ตั้งจิตก่อนนอนหลับ โดยมีเนื้อหาที่ตั้งจิตก่อนที่จะหลับนอนประมาณว่า “ขณะที่หลับขออย่าให้อกุศลทั้งหลาย กามทั้งหลาย ไหลไปตามการหลับของข้าพเจ้า”

วันนี้เราขอนำเสนอวิ ธีการอธิษฐานก่อนนอน ขอให้ท่านสละเวลาแค่วันละ 5 นาที ส ว ดก่อนนอน เพื่อเป็นศิริมงคลและช่วยให้หลุดพ้นบ่วงกรร มตัวเอง

วิธีการอธิษฐานก่อนนอน

อธิษฐานหน้าพระพุทธรูป หรือส ว ดก่อนนอนก็ได้

(นะโม 3 จบ)

“สัพพัง อะปะราธัง ขะมะถะเม ภันเต

อุกาสะ ทะวารัตตะเยนะ กะตัง

สัพพัง อะปะราธัง ขะมะถะเม ภันเต

อุกาสะ ขะมามิ ภันเต”

หากข้าพเจ้า จงใจหรือประมาทพลาดพลั้งล่วงเกิน บิดา-มารดา ครูบาอาจารย์พระพุทธ พระธรรม

พระอรหันต์ทุกพระองค์ พระอริยสงฆ์เจ้า ตลอดจนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย รวมถึงผู้มีพระคุณ และท่านเจ้ากรร มนายเ ว ร

จะด้วย กายวาจา ใจ ก็ดี ขอได้โปรดอโหสิกรร มแก่ข้าพเจ้าด้วย

หากข้าพเจ้ามีเจ้าของในตัวติดตามมาขออนุญาตมีคู่ มีครอบครัวได้เหมือนคนปกติทั่วไป

ขอถอนคำอธิษฐานคำสาบานที่จะติดตามคู่ในอดีต ขอให้ต่างฝ่ายต่างเป็นอิสระต่อกัน

ข้าพเจ้าจะประพฤติตนในทางที่ถูกที่ชอบที่ควร ขอบุญบารมีในอดีตกาลที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน

จงส่งผลให้ข้าพเจ้าและครอบครัวตลอดจนบริวารที่เกี่ยวข้องจงเจริญด้วย

อายุ วรรณะ สุขะ พละลาภ ยศ สุข สรรเสริญ สติปัญญา ปฏิภาณ ธนสารสมบัติ

อุปสรรคใดๆ โ ร คภั ยใดๆ ขอให้มล าย สิ้นไป ขอให้ข้าพเจ้ามีความสว่างทั้งทางโลก ทางธรรม

ตั้งแต่บัดนี้ตราบเข้าสู่พระนิพพานเทอญ

หากมีผู้ใดเคยสร้างเ ว ร สร้างกรร มกับข้าพเจ้า

ไม่ว่าจะชาติใดภพใดก็ตาม ข้าพเจ้ายินดีอโหสิกรร มให้ ขอถอนความพยาบาท

ความอาฆ าตและคำสา ปแ ช่งในทุกชาติ ทุกภพ

ขอให้ข้าพเจ้าพ้นจากคำสา ป แ ช่ งของปวงชนของเจ้ากรร มนายเว ร ขอให้พ้นน ร กภูมิ พบแสงสว่างทั้งทางโลก ทางธรรม เทอญ

แนะนำส ว ดก่อนนอนทุกคืน เราควรตั้งใจให้อ ภั ยทุกสิ่งทุกอย่างและแก่ทุกคน ทำเสมือนหนึ่งว่า เราจะไม่ตื่นขึ้นมาอีก ความตั้งใจอย่างนี้ ทำให้ใจของเราสงบและเราจะ หลับไปอย่างเป็นสุข ตื่นขึ้นพร้อมด้วยความสดชื่น แจ่มใส ขอจงท่ อ งจำไว้ว่า เมื่อใดใจของเราผูกเ ว ร เมื่อนั้นมองไปทางใดก็พบแต่ศั ตรู แต่เมื่อใดใจของเรามีเมตตา มองไปทางใดก็เจอแต่มิตรไมตรี

ที่มา : mee-suk.com

เมนูนำทาง เรื่อง

  • 1
  • 2
  • 3
  • Next

เรื่องล่าสุด

  • “การเลิกกัน” อย่าไปโทษเวลา หรือความห่างไกล ถ้าจะโทษควรโทษที่หัวใจของเรามันได้แปรเปลี่ยนไป
  • มนุษย์จะไม่ ‘มีค่า’ จนกว่าจะ ‘สร้างค่า’ ให้ตัวเอง
  • ไม่มีใครทำให้เรามีความสุขได้ มากไปกว่า “ตัวเราเอง”
  • คนมีศิลปะ
  • ชื่อนั้นสำคัญไฉน

คลังเก็บ

  • กุมภาพันธ์ 2019

หมวดหมู่

  • Blogs
  • ธรรมมะ
  • สาระความรู้
  • ไม่มีหมวดหมู่

Meta

  • เข้าสู่ระบบ
  • Entries RSS
  • RSS ของความคิดเห็น
  • WordPress.org
© 2019 admin - Powered by SimplyNews